ในการทำ Mastering นั้น vst plugin ตัวสุดท้าย หรือรองสุดท้าย ก็คงจะหนีไม่พ้น VST Limiter ซึ่งก็มีด้วยกันหลายค่ายที่ได้ทำ Software Limiter ออกมาให้เราได้เลือกใช้งาน โดยส่วนตัวแล้ว ผมจะชอบใช้บริการ เจ้า L2 vst ของค่าย wave เป็นประจำเหตุผลที่ต้องใส่ปลักอิน Limiter นั้น ก็คือ
- ทำให้เพลงของเราไม่ พีค (peak) หรือเกิน 0 dB หากเกิน 0 dB โปรแกรมจะ Clip สัญญาณเราทันที ซึ่งจะทำให้เสียงที่ออกมานั้น เกิดการแตกพล่า โดยส่วนมากผมจะตั้ง Gain Out put ไว้ที่ -0.1 dB ดังในวงกลมสีแดงตามรูปด้านบน เพื่อไม่ให้สัญญาณที่ได้ เกินกำหนด เหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องตั้งที่ -0.1 dB ทำไมไม่ตั้ง 0.0 dB ไปเลย คำตอบง่ายๆ ความเห็นส่วนตัวนะครับ เพราะป้องกันเวลาเรานำเพลงไปเปิดตามที่ต่างๆ หากตั้งไว้ที่ 0 dB สัญญาณที่ Mixer มันจะขึ้นแสดงว่า พีค (Peak) ซึ่งมิกเซอร์ มันจะทำการ Clip สัญญาณทันที ทำให้เสียงเพลงที่ออกมาฟังดูแตก และ พล่า
- สามารถทำให้เพลงเรามีความดังเทียบเท่าเพลงทั่วไปตามท้องตลาดโดย นำมาเปิดเทียบในขั้นตอนการทำ มาสเตอร์ริ่ง และเราก็กดสัญญาณ หรือปุ่ม Thres Hold เหมือนในวงกลมสีเขียว ตามรูปด้านบน แต่ก็ควรระวัง หากกดลงมาก ก็จะทำให้เพลงมีเสียงแตกพล่าได้เหมือนกัน ส่วนมากผมก็จะกดลง ประมาณ -3 ถึง -5 dB ตามความเหมาะสม ซึ่งในขั้นตอนการจัดบาลานซ์ เราควรเผื่อ Head Room ไว้ซัก -3 dBโดยตั้งที่ Limiter เหมือนกัน
ในการตั้ง Limiter นั้น ใน Track Master จะไม่มีการปรับ Gain ใดๆทั้งสิ้น สังเกตุได้ในวงกลมสีแดงตามรูปด้านบน Gain ของ Master Track จะอยู่ที่ 0 dB เหมือนเดิม
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment